เทศน์บนศาลา

กิเลสหลบใน

๒๑ พ.ย. ๒๕๕๗

กิเลสหลบใน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะปฏิบัตินะ เราตั้งใจฟังธรรม เราอย่าเสียใจ เราอย่าเสียใจอย่าน้อยใจเนาะว่า เราประพฤติปฏิบัติมาแล้วทำไมมันไม่สมความปรารถนา 
สิ่งที่สมความปรารถนา ความปรารถนาของเรา เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีการศึกษา เรามีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนสิ้นสุดแห่งทุกข์ เรามีความตั้งใจ เราประพฤติปฏิบัติ เราก็จะถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ แต่ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ในการประพฤติปฏิบัติมันต้องมีระดับของมัน ระดับของมัน เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราปฏิบัติแล้ว ถ้าสิ่งใดยังไม่สมความปรารถนา ไม่ต้องน้อยใจ
สิ่งที่เกิดมานี่มันสำคัญไง สิ่งที่สำคัญนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นทรัพย์อันประเสริฐ เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เห็นไหม เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีคุณค่า มีคุณค่าเพราะอะไร เพราะคนเขาเกิดมาเป็นมนุษย์มหาศาล แต่เขาไม่สนใจในพระพุทธศาสนา เขาไม่สนใจในพระพุทธศาสนาเพราะว่าอำนาจวาสนาบารมีของเขา
หลวงตา ท่านบอกว่า “คนที่จะมานับถือพระพุทธศาสนาต้องมีบุญ คนที่มานับถือพระพุทธศาสนาต้องมีอำนาจวาสนาถึงได้มานับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา เห็นไหม เป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอะไร? ปัญญาการพ้นจากทุกข์ ปัญญาวิปัสสนาที่เรามีอำนาจวาสนาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้สมตามความเป็นจริงนั้น”
ถ้ายังไม่สมตามความเป็นจริง เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ พอเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไง ถ้าเรามีคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราขวนขวายของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติยังไม่ประสบความสำเร็จ ประพฤติปฏิบัติแล้วมันยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ เราก็ยังภูมิใจ ภูมิใจที่เรามีต้นทุนไง เรามีต้นทุนของการเกิดเป็นมนุษย์ไง 
เรายังมีลมหายใจอยู่ เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้ายังมีชีวิตอยู่เรามีการขวนขวาย การขวนขวาย เห็นไหม เราขวนขวาย เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราจะให้สมความปรารถนาของเรา แต่สมความปรารถนาของเรา สมความปรารถนาด้วยการศึกษาไง เราศึกษาเราค้นคว้าใช่ไหม เราเข้าใจได้ว่าองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ แล้วการเป็นพระอรหันต์เป็นสิ่งที่ยอดปรารถนาของชาวพุทธที่มีจิตใจมั่นคงกับพระพุทธศาสนา นี่ถ้าเราศึกษาๆ เราก็อยากได้ตามนั้น
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนหลังไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ สิ่งที่เป็นพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญกุศลมาขนาดไหน เวลาสร้างบุญกุศลมา สร้างบุญกุศลเสียสละมา เสียสละมาทุกๆ อย่าง เพื่ออำนาจวาสนาบารมีให้บารมีเต็ม แล้วมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วมาค้นคว้า มาประสบความสำเร็จในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการสร้างอำนาจวาสนามายิ่งใหญ่นัก ถึงได้เป็นศาสดา ถึงมีอำนาจวาสนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง แล้วเทศนาว่าการไว้ เห็นไหม ในมงคลชีวิต “เราเกิดในประเทศอันสมควร เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดในประเทศอันสมควร”
คำว่า “สมควร” เห็นไหม ดูสิ เราเกิดมา เกิดมาแม้แต่ว่าจะเกิดในสมัยโบราณก็แล้วแต่ สมัยโบราณในประเทศไทยเราก็เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนาทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ให้สังคมมีการเจือจานมีการเห็นอกเห็นใจต่อกัน มีเมตตาต่อกัน ถ้ามีเมตตาต่อกันเพราะอะไร เพราะเราเชื่อไง เราเชื่อถึงกรรม เราเชื่อถึงการทำคุณงามความดี ถ้าใครทำคุณงามความดี ความดีอันนั้นจะส่งเสริม “กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของศีลหอมทวนลม” เราจะทำดีต่อหน้าและจะทำดีลับหลัง 
แต่คนที่เขามีบารมีอ่อนด้อย เขาก็ทำดีต่อหน้า แต่เขาก็ทนแรงกิเลสของเขาไม่ได้ในสื่อทางตะวันตกเขามาเที่ยวเมืองไทยแล้วเขาแปลกใจนะ เขาแปลกใจว่า คนไทย เช้าขึ้นมาก็ใส่บาตร ตกเย็นก็ตีไก่ เขาบอกมันขัดแย้งกัน เวลามันขัดแย้ง เห็นไหม เวลาเรามีเมตตา เราเสียสละ เราทำเพื่อคุณงามความดี แต่เวลาไปตีไก่ เขาว่าไปทรมานสัตว์ เขาเห็นแล้วเขาก็แปลกใจ เราทำดีต่อหน้าและทำดีลับหลัง คนที่อำนาจวาสนายังอ่อนด้อย เขาก็เป็นวัฒนธรรมประเพณีของเขา เขายังมีวัฒนธรรมประเพณีของเขา เขาก็อยู่ในวัฒนธรรมนั้น 
แต่ของเรา เราก็อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกันนี่แหละ แต่ว่าเราเสียสละ เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา สิ่งใดที่ เห็นไหม ดูสิ เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระ-พุทธศาสนา แล้วมีอำนาจวาสนามาบวชพระด้วยนะ ยิ่งถ้ามาบวชพระ บวชพระนี่เป็นนักรบ ถ้านักรบจะรบกับกิเลสของตัว ถ้ารบกับกิเลสของตัว เห็นไหม จะมีศีลมีธรรม จะมีศีลไง ศีลนี้เป็นสมบัติของเรานะ ถ้าศีลของเราสมบูรณ์ เราจะมีความอบอุ่นในหัวใจ ถ้าเรามีคุณธรรม เห็นไหม เรามีศีล เรามีสมาธิ เราทำความสงบของใจของเราเข้ามาได้ แล้วมีสติปัญญาขึ้นมา มันเกิดมาจากไหนล่ะ? 
มันเกิดมาจากการขวนขวาย เกิดมาจากการกระทำของเรา ถ้าเรามีการกระทำ เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา สิ่งใดเราทำไปเราได้ประโยชน์ทั้งนั้น เราเสียสละนั้นมันก็เป็นบารมีทานของเรา เป็นทานบารมี เราเสียสละ เขามีวัฒนธรรม เขามีการกีฬาอะไรของเขา เราก็ไม่ไปทำกับเขา เพราะเรามีศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เรามีศีลของเรา ถ้าศีลของเรา ไม่เบียดเบียนกัน พระเรา เห็นไหม กักขังสัตว์ก็ไม่ได้ สัตว์ เห็นไหม วัตถุเป็นอนามาส เราก็จับต้องไม่ได้ มันเข้มข้นกว่านั้นไง
แต่! แต่ในเมื่อเป็นวัฒนธรรม เวลาวัฒนธรรมนะ เวลาทางตะวันตก เห็นไหม เขาล่าเมืองขึ้น เขาล่าเมืองขึ้นด้วยเรือปืน เวลาเขามาเห็น เขาบอกว่า “คนป่าเถื่อน พวกนี้ ประเทศชาตินี้ยังป่าเถื่อน ยังล้าหลัง จะต้องพัฒนา” มันจะมายึดครองของมันนั่นน่ะ เวลาจิตใจของเขา เวลาเขาจะมายึดครองของเขา เขาเห็นว่าเราป่าเถื่อน ความเป็นอยู่นี้มันป่าเถื่อน เกิดมาเป็นมนุษย์พวกนี้ยังล้าหลัง แต่ความล้าหลังมันก็คิดว่าทางโลกไง แต่ทางธรรมล่ะ? แต่ทางหัวใจล่ะ? เห็นไหม 
ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยกรุงธนฯ สมัยกรุงเทพฯ ต่างๆ มานี่มีหลักมีเกณฑ์ไง ผู้ปกครอง เห็นไหม เวลากษัตริย์เวลาขึ้นครองราชย์ เห็นไหม “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม” ถ้ากษัตริย์ที่มีคุณธรรม มีธรรม เขาส่งเสริม ส่งเสริมพระพุทธศาสนา ศาสนาก็กล่อมเกลาจิตใจ จิตใจของคนให้อภัยต่อกัน ให้มีทานต่อกัน ให้มีศีลมีธรรมต่อกัน แล้วผู้ที่มีโอกาสวาสนาได้ประพฤติปฏิบัติ มีครูมีอาจารย์สืบทอดต่อมาตลอด
แล้วเวลาเขาจะมาครอบครอง เห็นไหม เขาว่าป่าเถื่อน พอบอกว่าป่าเถื่อน ต้องพัฒนา นี่เขาจะยึดครอง แต่ยึดครองมันยึดครองไม่ได้ ยึดครองแต่ที่เขาบริหารจัดการไม่ได้ เขาก็โดนยึดครองของเขาไป เพราะ เพราะมันต่างกันด้วยอาวุธ มันต่างกันด้วยอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมทางสงครามของเขา เราพัฒนาไม่ทันกัน ความว่าพัฒนาไม่ทันกัน พัฒนาทางวัตถุ เห็นไหม
แต่ถ้าพัฒนาทางหัวใจล่ะ ที่ไหนมันป่าเถื่อน เขามีวัฒนธรรมของเขา เขามีความดีของเขา แต่ในเมื่ออาวุธมันแตกต่างกัน ในเมื่อสิ่งต่างๆ แตกต่างกัน เพราะเขาพัฒนาทางอุตสาหกรรมของเขา แล้วการพัฒนาอุตสาหกรรมมันก็เกิดจากมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้คิด เห็นไหม เราจะพัฒนาให้ทันเขา เราก็ต้องพัฒนาของเรา
มนุษย์ เวลาเราเกิดมาเป็นคน เกิดเป็นคนนี่มีคุณค่า มีคุณค่าเพราะเราเกิดมาเป็นคน เป็นคนมีกายกับใจๆ เห็นไหม กายกับใจ ทุกคนถ้าจิตใจของคนเวลาคิดทางโลก เห็นไหม โลกเป็นใหญ่ๆ ไง เราก็ต้องมีการศึกษา เราก็ต้องมีการพัฒนาเพื่อความเจริญงอกงาม แล้วเราก็ยอมรับ เวลาไปไหนขึ้นมา ชาตินั้นเจริญ ชาตินี้เจริญ
หลวงตาท่านบอกว่า “มันเจริญที่วัตถุ มันเจริญที่อิฐหินทรายปูน” ความว่า “อิฐหินทรายปูน” เวลามันพัฒนาขึ้นไปแล้วมันทันกันทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราพัฒนาทางเศรษฐกิจ เวลาเรามีเงินมีทอง เราจะสร้างให้ยิ่งใหญ่ยิ่งไปกว่านั้นก็ได้ สร้างขนาดไหนก็ได้ ถ้ามันเจริญ เจริญทางอิฐหินทรายปูน เจริญทางวัตถุ เห็นไหม 
แล้วมนุษย์ มนุษย์มีกายกับใจ ถ้ามีกายกับใจ เวลาร่างกายมันต้องการวัตถุ มันก็ต้องการคุณภาพชีวิต เวลาเขามาหลอกกัน “คุณภาพชีวิตๆ” แล้วคุณภาพชีวิตทางโลกไง คุณภาพชีวิต เราก็ต้องมีการศึกษา เราต้องมีความเจริญ เรามีการศึกษามีความเจริญ ทุกคนก็มองออก ส่งออกหมด ถ้าเราส่งออก ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าศึกษาด้วยสติ ด้วยปัญญา เห็นไหม ถ้าศึกษาด้วยสติด้วยปัญญา ปัญญาเรามีศึกษา เพราะเรามีการศึกษา มีการศึกษามีการค้นคว้า เห็นไหม อุตสาหกรรมเจริญ
ก่อนหน้านั้นเวลาเขาจะศึกษา เขาศึกษามุขปาฐะต้องศึกษากันด้วยปาก เห็นไหม ในเมื่อไม่มีกระดาษ ไม่มีโรงพิมพ์ ไม่มีต่างๆ มันศึกษากันมาขนาดนั้น มันศึกษามามันมีครูมีอาจารย์ มันสืบทอดต่อมาๆ ต่อมานะ แต่เวลาโลกนี้เจริญ พอเจริญขึ้นมาเรามีโรงพิมพ์ เราผลิตกระดาษได้ เราผลิตหมึกได้ เราพิมพ์หนังสือได้ ทุกอย่างได้ เราก็ศึกษากันมา ศึกษาๆ ศึกษาด้วยปัญญาของเรา
ทีนี้ศึกษาด้วยปัญญาของเรา เราศึกษา คนมีปัญญาขึ้นมาศึกษาธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันศึกษาด้วยอะไรล่ะ เราศึกษามา เรามีปัญญา ปัญญาของเรา นี่มานะ มีมานะมีทิฏฐิมีมานะขึ้นมา ก็ศึกษาโดยความรู้ความเห็นของเราไง แล้วพอศึกษาขึ้นมามันเทียบเคียง เพราะด้วยเหตุด้วยผล
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ประเสริฐมาก ถ้าเราศึกษาแล้วด้วยเหตุด้วยผล ถ้าจิตใจเราทุกข์เรายาก เราหวังหาที่พึ่ง เห็นไหม “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย” แต่ธรรมะนี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษามาเพื่อชโลมใจของเราไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้น รื้อค้นแบบนี้ ธรรมและวินัยเนี่ย เวลากิเลสมันดิ้นรนในหัวใจ เราจะมีสิ่งใดที่จะไปกำราบปราบปรามมัน ปราบปรามเพื่ออะไร ปราบปรามที่หัวใจของเรา เห็นไหม 
ทีนี้ถ้าเราคิดของเราล่ะ เราประพฤติปฏิบัติของเรา เรามีสติมีปัญญาของเรา เราว่าเราจะทำของเราๆ ถ้าทำของเรามันก็เพราะอะไร เพราะว่าเรามีอวิชชา โดยธรรมชาติของเรา เรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็เป็นเรื่องโลกๆ เวลาปัญญาเราเกิด ปัญญาเราเกิดปัญญามันมาจากไหนล่ะ? 
ปัญญามันเกิดจากกิเลสเราทั้งนั้น เวลาเราไปศึกษา เราไปศึกษาทางวิชาการทางโลก เราก็ใช้สติใช้ปัญญาของเราศึกษา ศึกษามา ศึกษามาเพื่อเป็นความรู้ไง เรารู้ทางวิชาการทั้งนั้น แต่เราไม่รู้จักตัวเราเอง เพราะเรามองไม่เห็นตัวเราเอง มันส่งออก คำว่า “ส่งออก” คือศึกษา ขวนขวายเพื่อมีสติมีปัญญา
สติปัญญานะ สติปัญญานั้นศึกษามาทำไม ศึกษามาเพื่อวิชาชีพ ศึกษามาเพื่อมีปัญญา ปัญญาเพื่อประกอบสัมมาอาชีวะ คนมีการศึกษาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ แล้วเวลาเราศึกษาแล้วเราเป็นชาวพุทธ เราก็ทำบุญกุศล เราก็อยากประสบความสำเร็จ ศึกษามาแล้ว ศึกษามาด้วยกันนั่นแหละ บางคนประสบความสำเร็จ บางคนทุกข์ๆ ยากๆ มันเป็นเพราะอะไรล่ะ มันก็มีการกระทำ มีกรรมมาอีกล่ะ มันก็มีอำนาจวาสนามา เรื่องอำนาจวาสนา เห็นไหม อำนาจวาสนาที่เราจะประสบความสำเร็จในทางวิชาการ เราจะประสบความสำเร็จทางโลก นี่เรื่องโลกๆ ไง มันล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น
แต่ถ้าเวลาย้อนกลับๆ ย้อนกลับมาแล้วถ้าเรามีบุญกุศลของเรา เราสร้างของเรามา จังหวะและโอกาสจะเป็นของเรา ทำสิ่งใดมันก็จะประสบความสำเร็จๆ นั่นเป็นความสำเร็จทางโลก มันไม่ได้ประสบความสำเร็จทางธรรม ดูสิ ในคนเราถ้าร่างกายสมบูรณ์ทำสิ่งใดก็ได้ ทำสิ่งใดก็สมบูรณ์ แต่คนเราเกิดมาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาทำสิ่งใดมันก็ล้มลุกคลุกคลาน นี่พูดถึงความเจ็บไข้ได้ป่วยนะ แล้วหัวใจล่ะ หัวใจมันก็เป็นแบบนั้น
คนเรานะ ถ้าคนที่เขามีวินัยกับตัวเอง เขาจะออกกำลังกายของเขา เขาจะรักษาร่างกายของเขา เขาไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเลย เขาไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเพราะเขาดูแลรักษาของเขา แต่คนเราเกิดมาบางคนก็เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเราจะดูแลอย่างไรล่ะ นี่เรื่องของวัตถุ เรื่องของร่างกายแล้ว
แล้วจิตใจล่ะ เวลาจิตใจล่ะ จิตใจ เห็นไหม คนมีอำนาจวาสนานะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย นี่ธรรมะมาเตือนแล้ว ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วย ทำไมเราเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะหนึ่งเราดูแลร่างกายเราไม่ดี พฤติกรรมการดำรงชีวิตของเราไม่ดี ถ้าเราฝืน เราพยายามดูแลรักษา เห็นไหม ทำให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้นมาได้ แต่เวลาบางคนเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วน้อยเนื้อต่ำใจ เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วความเจ็บไข้ได้ป่วยเหยียบย่ำหัวใจเลย ทำให้จิตใจนี้ฟุ้งซ่าน ทำให้จิตใจเราตกต่ำ ทำให้จิตใจมีแต่ความวิตกกังวล
แต่ถ้าคนจิตใจเขาเข้มแข็ง เห็นไหม เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เขาทบทวนเขาเลย เขาใช้ปัญญาทบทวนเขาเลย เขามีปัญญาของเขาเลย นี่ไง ถ้าเข้มแข็งทางร่างกาย ถ้าทางร่างกายเข้มแข็งขึ้นมา ดูแลรักษาร่างกายดี ความเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็จะเกิดได้น้อยหน่อย แต่ถ้าคนไม่ดูแล เห็นไหม มันก็เจ็บป่วยได้มากหน่อย จิตใจก็เหมือนกัน จิตใจถ้าคนเข้มแข็ง เห็นไหม เวลาสิ่งใดกระทบขึ้นมามันพิจารณาของมัน มันฝึกหัดใช้ปัญญาของมัน ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา เพื่อประโยชน์กับใครล่ะ? เพื่อประโยชน์กับใคร?
ถ้าจิตใจอำนาจวาสนาของคนถ้ามันมีกรรม กรรมดีมันคิดแต่เรื่องดีๆ ไง วุฒิภาวะของจิตถ้าจิตมันดี เห็นไหม จิตมันดีมันจะคิดแต่เรื่องดีๆ เราก็มอง เห็นไหม นี่ชาวพุทธเรามหาศาลเลย แต่เวลาประพฤติปฏิบัติล่ะ ปฏิบัติ เวลาทำบุญกุศลก็ว่าแสนยากแล้วนะ คำว่า “บุญกุศล” มันเป็นอามิส สิ่งที่เสียสละขึ้นมามันเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้น แต่ถ้าทางวิทยาศาสตร์เขาบอกเลย “มันเป็นของเราได้อย่างไร? เราให้เขาแล้วเป็นของเราได้อย่างไร? ของเรามีแต่เสียหาย มีแต่น้อยไป เพราะเราต้องเสียสละออกไป มันจะเป็นของเราได้อย่างไร?”
แต่ถ้าเป็นทางธรรมๆ ของเราทั้งนั้น ถ้าใครได้ฝึกหัด ใครได้เสียสละขึ้นมา ถ้าทำได้จริง แต่มันทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะความตระหนี่ถี่เหนียว เพราะความทิฏฐิมานะ แม้แต่ความอาย เห็นไหม ถ้าจะทำบุญก็อายไม่กล้าทำ ถ้าคนเขาเคยทำ เขาทำได้ทั้งนั้นน่ะ เพราะเขาฝึกของเขา เพราะจิตใจเขาน้อมลง น้อมลงเปิดหัวใจเพื่อประโยชน์ เปิดให้สัจจะให้ความจริงได้เข้าสู่หัวใจไง 
แต่เกิดทิฏฐิมานะ มีความกระด้างที่ว่าเราถือตัวถือตน มันลงใครไม่ได้ มันก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ทั้งๆ ที่ธรรมะมันเป็นเรื่องของทาน เรื่องของทำทานมันยังทำกันไม่ได้เลยถ้ามันเกิดทิฏฐิมานะ เกิดอหังการในหัวใจ แต่คนฝึกหัดๆ เขาทำได้ ดูสิ ประเพณีทางอีสาน เห็นไหม เขาไหว้พระ เขากราบพระด้วยหัวใจของเขา เขากราบได้ ไอ้เราจะยกมือไหว้พระ เราไหว้ไม่ลง 
โลกมันเจริญไง พอโลกมันเจริญเราก็วัดกันไง พระควรดำรงชีวิตอย่างไร พระจะทำตัวอย่างไร แล้วเราก็วัดว่าพระ เราศึกษาไงๆ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าก็เรื่องพุทธวิสัย ถ้าพุทธวิสัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา ก็เรียบร้อยอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่พวกเรา เราเป็นชาวพุทธ เห็นไหม ชาวพุทธมันก็ต้องมีศาสนทายาท คนที่ศาสนทายาทบวชเข้ามาๆ มันก็บวชมาจากมนุษย์นี่แหละ ถ้ามนุษย์ขึ้นมาก็จริตนิสัยของมนุษย์นี่แหละบวชเข้ามา บวชเข้ามาเพื่อจะดัดแปลงตน แล้วดัดแปลงตน ขณะที่ดัดแปลงมันก็มีความผิดพลาดเป็นธรรมดา แต่ถ้าต่อไป สามเณรน้อยดูแลแล้วต่อไปจะเป็นสังฆราชนู่นน่ะ แต่ถ้าไม่ดูแล ศาสนทายาท นี่พูดถึงศาสนทายาทไง
เราไปคิดกันเอง เราจะทำบุญ เรายังอายเลย แล้วเราจะภาวนาอะไรกัน ถ้าเราทำบุญ เรายังอายเลย แล้วเราจะกล้าภาวนาไหม ถ้าเรากล้าภาวนา เห็นไหม ทำบุญยังอายเลย แล้วเวลาภาวนาไปนั่งพุทโธๆ “ไปนั่งสมาธิอยู่นี่ มันจะทำอะไรน่ะ งานการไม่ทำ ความมั่นคงของชีวิตไม่รู้จักแสวงหา แล้วจะมาหลับหูหลับตา จะได้ประโยชน์สิ่งใด” นี่โลกเขามองกันอย่างนั้น เห็นไหม 
แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เริ่มต้นจากว่าเราเป็นมนุษย์ เราเป็นคนนะ ต้นทุนของเราเป็นคน เราเป็นคน เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติถ้ามันขาดตกบกพร่อง ขาดตกบกพร่องก็เรามีสติมีปัญญา เราจะขวนขวายอยู่นี่ไง ถ้าเราจะขวนขวาย เห็นไหม เรามีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งไหม ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง เพราะครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อน คนที่ประพฤติปฏิบัติมาก่อน ถ้าเป็นประสาโลกเขาบอกอาบน้ำร้อนมาก่อน เราก็รำคาญ อาบน้ำร้อนมาก่อน เราก็อาบ เราถือว่าประชาธิปไตย เรามีสติมีปัญญา อาบน้ำร้อนมาก่อน เขาก็ได้อาบก่อน อาบน้ำร้อนมาก่อน เห็นไหม 
นี่เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อน ท่านผิดมาก่อน ท่านล้มลุกคลุกคลานมาก่อน ท่านผิดมาก่อน ล้มลุกคลุกคลานมาก่อน ครูบาอาจารย์เราท่านถึงวางข้อวัตรไว้ให้เราก้าวเดินตามๆ ไง ก้าวเดินตาม เห็นไหม เริ่มต้นก็ต้องมีสติควบคุมตัวเอง ถ้ามีสติควบคุมตัวเอง นี่ไง ถ้าเรามีการศึกษา “แล้วทำไมต้องควบคุมล่ะ ประชาธิปไตย ฉันอยู่ของฉัน ฉันอยู่ความสงบของฉัน ฉันพอใจของฉัน” นั่นก็ความคิดของเขา เพราะว่านี่ไงปัญญาชนๆ
แต่ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อน้อมใจลง ใจนี้ถ้ามันน้อมลงได้ เห็นไหม น้อมลงอะไรล่ะ? น้อมลงสู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในเมื่อเราเป็นชาวพุทธไง เราปฏิญาณตนว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่วางธรรมวินัย วางไว้ทำไม? วางไว้รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง 
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์มันก็ต้องมีวิธีการรื้อ ถ้าวิธีการรื้อ ธรรมและวินัยนั่นน่ะจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่วางธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วเราจะศึกษา เราอยากจะพ้นจากทุกข์ แล้วเราไม่น้อมใจลงเชื่อ ไม่น้อมใจลงประพฤติปฏิบัติ แล้วเราจะก้าวเดินไปอย่างไรล่ะ? 
แล้วบอก พอจะทำก็ “อ้าว! ประชาธิปไตย” 
ประชาธิปไตยก็ไม่ทำอะไรเลย ไม่ทำอะไรแล้วมันก็จะเอามรรคเอาผล เอามรรคเอาผลด้วยการศึกษาหรือ เอามรรคเอาผลด้วยการค้นคว้าอย่างนั้นหรือ เอามรรคเอาผลอย่างนี้ เห็นไหม โลกเขาก็ทำกัน เวลาโลกเขาทำทางวิชาการ เขาทำกันทั้งนั้นน่ะ เวลาเขาศึกษามา เขาต้องเขียนวิทยานิพนธ์ทั้งนั้นน่ะกว่าเขาจะจบ
นี่เราศึกษาธรรมะ เราก็ทำเหมือนกัน มันเป็นปริยัติ ปริยัติก็คือปริยัติ ปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียนมา เล่าเรียนมาทำไม เล่าเรียนมาแล้วเป็นสมบัติของเราไหม เล่าเรียนมามันเป็นสมบัติของเรา มันเป็นสมบัติเป็นความจำ ความจำไม่ใช่ความจริง เราจะค้นหาความจริงไง ถ้าเราจะค้นหาความจริง เห็นไหม ศึกษามาแล้ว ศึกษามาแล้วมันก็เกิดความศรัทธา
ชีวิตนี้ทุกข์ไหม ต้นทุนของเรา ชีวิตของเรายังมีอยู่เนี่ย แล้วเวลาเราทำหน้าที่การงาน เห็นไหม มันตึงเครียด ถ้าทำสิ่งใดประสบความสำเร็จมันก็พอใจ มันก็ว่าเป็นเครื่องอยู่ เกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีหน้าที่การงาน ทำหน้าที่การงานก็ประสบความสำเร็จ เราก็มีชื่อเสียงมีเกียรติคุณ เห็นไหม ในชาติตระกูลของเราก็มั่นคงของเรา เพราะเราเป็นคนค้ำยันชาติตระกูลของเรา ภูมิใจๆ มันก็น่าภูมิใจ แต่มันเป็นเรื่องโลก มันเป็นเรื่องการส่งออก
เราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เรามีสิทธิเสรีภาพเหมือนกัน เรามีหน้าที่การงาน คนจะเกิดมาเป็นคนมันต้องมีหน้าที่การงาน เพราะเกิดมาเป็นคนมันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ในเมื่อปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าคนไม่มีปัญญาจะหาสิ่งใดมาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยล่ะ เครื่องอาศัยให้ชีวิตดำรงอยู่ ดำรงอยู่แล้วเราทำหน้าที่การงาน มันก็ได้แค่นั้นน่ะ ได้แค่นั้น เห็นไหม 
ในเมื่อเราทำคุณงามความดี เราเป็นคนดี เราประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งหมดเลย เราก็ได้สร้างบุญกุศล บุญกุศลมันก็เป็นบุญ เวลาหมดอายุขัยมันก็ไปเกิด เห็นไหม เกิดตามผลบุญนั้น แล้วเกิดตามผลบุญนั้นมันคืออะไรล่ะ? ก็ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ 
เราเกิดมาเป็นมนุษย์อายุ ๑๐๐ ปี แล้วเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมล่ะ แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ใหม่ก็ได้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ก็ต้องไปนอนในครรภ์อีก ๙ เดือน แล้วคลอดออกมา พ้นจากวิกฤติมันเจียนอยู่หรือเจียนตาย แล้วมันถึงได้มีลมหายใจ ถึงได้มีชีวิตขึ้นมา จะเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ต่อไป เพราะด้วยคิดว่าเราประสบความสำเร็จ เราทำคุณงามความดีอย่างนั้นหรือ นี้ถ้าคนที่อำนาจวาสนาเขามีเท่านั้น เขาก็เป็นอย่างนั้น ขอให้เขาเชื่อในพระพุทธศาสนาแล้วทำคุณงามความดีเถิด เพราะความดีนั้นเป็นประโยชน์ของเขา
แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ยังมีลมหายใจอยู่นี่ใช่ไหม เราก็ทำหน้าที่การงานเหมือนกัน ถ้าเราทำหน้าที่การงาน เราสละทางโลก เรามาบวชเป็นพระก็จบเลย บวชเป็นพระ ไม่ต้องตกใจว่าจะไม่มีใครค้ำจุน มีอยู่แล้ว เพราะเราเกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศของชาวพุทธ ศรัทธาไทยเขาส่งเสริมอยู่แล้ว เขาส่งเสริม เขาต้องการให้พระปฏิบัติ เขาต้องการให้เกิดศาสนทายาท เขาต้องการให้มีความชุ่มชื่น ให้มีบุญกุศล ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล เพราะผู้ทรงศีลทรงธรรมอยู่ในที่ใด ที่นั้นจะอบอุ่นไง เขาพร้อมอยู่แล้ว ถ้าเขาพร้อมอยู่แล้ว ถ้าเราปฏิบัติของเรา เราทำจริงของเรา เราไม่ต้องห่วงหน้าที่การงานนั้นเลย
แต่ถ้าเรายังอยู่ทางโลกอยู่ เห็นไหม เราทำหน้าที่การงานของเรา แล้วทำหน้าที่การงานแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ยังมีกายกับใจๆ หัวใจอันนี้ยิ่งใหญ่ เพราะอะไรพาเกิด เวลาเราว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ ใช่! เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีคุณค่า ต้นทุนของเรานี่ไง มนุษยสมบัติ มนุษยสมบัติ เห็นไหม เพราะเรายังมีสมบัติ เรายังมีลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ชีวิตเรายังมีอยู่นี่ แล้วถ้าเราทำหน้าที่การงานก็หน้าที่การงานผลของวัฏฏะ ผลของการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องแล้วหัวใจล่ะ? ถ้าหัวใจมันอยู่ไหน? แล้วเวลาเกิด อะไรพาเกิด? ปฏิสนธิจิตลงสู่ในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ ไม่พ้นไปจากนี้ วัฏฏะนี่ผลของจิตที่มันเวียนว่ายตายเกิด
แล้วพอเวียนว่ายตายเกิดนี่ผลของวัฏฏะ เห็นไหม แล้ววิวัฏฏะล่ะ? ออกพ้นไปจากมัน วิมุตติพ้นไปจากมัน มันเกิดจากที่ไหน ถ้ามันจะเกิด มันจะเกิดในตำราหรือ มันจะเกิดจากเราค้นคว้ามาใช่ไหม มันไม่เกิดมาจากไหนหรอก มันเกิดมาจากปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกโดยการกระทำ เราถึงขวนขวายไง เราถึงเสียสละมาไง 
เราเสียสละ เห็นไหม มีหน้าที่การงาน เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา แล้วเราก็จะมาบำรุงหัวใจของเรา เราจะอัตตสมบัติ สมบัติของใจ สมบัติของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา เราจะฝึกฝนขึ้นมา สิ่งที่เราศึกษามาเป็นวิชาการทั้งนั้น ภาคปริยัติๆ การศึกษามาต้องศึกษาไหม ศึกษามาไง ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทางไง ถ้าศึกษามาเพื่อเป็นแนวทาง เรามีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านก็ศึกษามาเหมือนกัน พอศึกษามาแล้ว เวลาปฏิบัติไปมันมีอุปสรรคอย่างใด เวลาท่านจะสอน คอยบอกเรา เห็นไหม 
เราศึกษา ศึกษามา เพราะคำว่า “ศรัทธา” ไม่มีศรัทธาก็ไม่เข้าไปปฏิบัติ ถ้าไม่ศึกษามันจะเกิดศรัทธาไหม เราไม่รับรู้สิ่งใดๆ เลย เราจะเกิดปัญญาได้อย่างไร เราจะเกิดปัญญาด้วยการรับรู้ การศึกษาค้นคว้าคือการรับรู้ให้เกิดปัญญา เกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาก็มีศรัทธา แล้วศรัทธาแล้วปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม 
เวลาบอกว่า “กิเลสๆ เวลากิเลสอยู่กับเรา เราจะชำระล้างมัน”
นี่กิเลสก็ไม่รู้จัก เวลาศึกษามาก็ได้แต่ชื่อ ได้ชื่อเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าท่านประพฤติปฏิบัติมาประสบความสำเร็จขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบอกไว้เลย เห็นไหม ดูมารสิ พญามาร ลูกหลานของมาร แล้วเวรกรรม เวลากรรมมันให้ผล แล้วกรรมดี กรรมดีให้ผลก็ส่งเสริม ส่งเสริมให้การประพฤติปฏิบัติเรามันมีคนคอยเกื้อกูล คอยดูแล ถ้าเรามีบุญกุศล ถ้าไม่มีบุญกุศลมันแห้งแล้ง ไปปฏิบัติก็ล้มลุกคลุกคลาน นี่มันผลของกรรมๆ แล้วอำนาจวาสนาของเราแปรปรวนไหม
อำนาจวาสนาของเราไง เวลาเราไปเจอสิ่งบุญกุศลที่ทำดีขึ้นมา เวลาผลคุณงามความดีตอบสนอง ใครมาดูแลก็เฟื่องฟูฟุ้งเฟ้อไปกับเขา เวลาธุดงค์ไป เวลาเปลี่ยนแปลงไป เวลากรรมมันให้ผล ไม่มีใครดูแล ก็เสียใจน้อยใจไปกับเขา เพราะวาสนาเรามันอ่อนแอไง มันไม่มีอะไรคงที่ไง มันไม่มีหลักใจไง เจอโลกธรรม ๘ มันก็หวั่นไหวไปกับเขา
แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราเลือกเอง เราเลือกเอง หลวงตาท่านพูดบ่อย 
“เราเลือกเอง บ้านน้อยๆ ๕ หลัง ๑๐ หลังก็พอ ถ้ามันมากกว่านั้นเดี๋ยวเขามากวน ยิ่ง ๓ หลังยิ่งดีใหญ่ ที่ไหนบ้านน้อย เพราะวัฒนธรรมของเขา เวลามีพระมีเจ้ามา เขาไม่ทิ้งไม่ขว้าง มีบ้านหลัง ๒ หลัง เขาก็ใส่บาตรให้กิน พอใส่บาตรให้กิน ดำรงชีวิตได้ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แล้วมีเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา” 
เราหาเองๆ เราหาสภาวะแบบนั้น แล้วมันจะไปน้อยเนื้อต่ำใจอะไร เราหาเอง เราหาที่สงัด หาที่วิเวก เราไม่ต้องการสิ่งที่อุดมสมบูรณ์ให้มันเฟื่องฟู ให้กิเลสมันเฟื่องฟู เห็นไหม เวลาปฏิบัติเป็นอย่างนี้
เวลาศึกษาก็ศึกษามา เวลาศึกษาเราก็เข้าใจได้ว่าศึกษา ศึกษามาให้มันศรัทธา ถ้าไม่ศึกษามันไม่เกิดศรัทธา ตัวศรัทธามันดึงใจออกมาให้ทำไง เวลาปฏิบัติ เราปฏิบัติกันด้วยอะไรล่ะ เวลาปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ปฏิบัติเพื่ออะไร ก็ค้นหาใจของตัวไง ถ้าค้นหาใจของตัวได้ ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันจะเห็นใจของตัว ถ้าจิตมันสงบเข้ามาได้มันเป็นความมหัศจรรย์ มันเชื่อมั่นไง แต่ขณะที่เราศึกษามา เราส่งออกไปศึกษาทางวิชาการ นี่ทางโลก 
เรือปืนเวลามันล่าอาณานิคม มันบอกพวกนี้ป่าเถื่อน ไม่เจริญ เห็นไหม ทั้งๆ ที่มันจะล่าเขาอยู่นั่นน่ะ มันบอกว่าป่าเถื่อน มันบอกว่าชาวตะวันออกนี้ป่าเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรม ของมัน มันยอดเยี่ยม แต่มันล่าเขามันว่ายอดเยี่ยม มันล่าเขามันบอกจะพัฒนาเขา เวลามันเอาเรือปืนมาจ่อเอา เห็นไหม นี่ด้วยความคิดของเขา เขาไม่มีวัฒนธรรมได้อย่างไร เอ็งเข้าใจวัฒนธรรมเขาหรือ เอ็งเข้าใจถึงน้ำใจเขาไหม เอ็งเอาแต่อำนาจ เอาแต่เรือปืนไปทำลายเขา แล้วสิ่งนั้นหรือเป็นความจริง 
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราศึกษาๆ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบังคับเอา เวลาศึกษาแล้วรู้ ศึกษาแล้วเข้าใจ แล้วมันจะเป็นอย่างนั้น มันเป็นจริงหรือ เอ็งรู้จริงหรือ กิเลสเอ็งยังไม่รู้จักเลย ถ้าเอ็งจะรู้จัก เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว การศึกษาสูงส่งขนาดไหน สาธุ! นั้นเป็นอำนาจวาสนาของคนคนนั้น ศึกษามาแล้วมันไปเสริมเขี้ยวเสริมเล็บกิเลสด้วยหรือเปล่า ถ้ามันไปเสริมเขี้ยวเสริมเล็บ เวลามันภาวนามันจะภาวนายาก 
แต่ถ้ามันไม่เสริมเขี้ยวเสริมเล็บกิเลส เพราะว่าศึกษา กิเลสก็ศึกษาด้วย ศึกษาธรรมะ กิเลสก็ศึกษาด้วย ศึกษา จะศึกษาอะไร กิเลสก็ศึกษาด้วย ทั้งๆ ที่ศึกษามาเพื่อจะให้ศรัทธานี่แหละ ศึกษามาให้ค้นคว้า ถ้ามันมีโอกาสการค้นคว้าใจมันลง ถ้าใจมันลงมันจะมีการประพฤติปฏิบัติ ในการประพฤติปฏิบัติจะเอาจริง 
ถ้าเอาจริงของเรา เห็นไหม ถ้าเรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าเราปฏิบัติ เราปฏิบัติแล้วล้มลุกคลุกคลาน ปฏิบัติแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ แต่ต้นทุนชีวิตเรายังมี สิ่งนี้มันมีค่า 
สิ่งที่มีค่าคืออะไร? 
สิ่งที่มีค่า เห็นไหม กำหนดพุทโธ พุทโธคำเดียว ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พุทโธสะเทือน ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ สะเทือน ๓ โลกธาตุ ไม่ใช่สะเทือนจักรวาล จักรวาลมันแค่วัตถุ ๓ โลกธาตุมันซ้อนกันยิ่งกว่านี้มันสะเทือน ๓ โลกธาตุ เพราะอะไร เพราะจิตนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเคยเกิดตั้งแต่พรหมลงมา จิตนี้เวียนว่ายในวัฏฏะ แล้วถ้ามันสะเทือนหัวใจ ถ้ามันสะเทือนถึงตัวมัน มันสะเทือน ๓ โลกธาตุ แต่นี้เราทำไม่ถึง เราทำไม่ได้ มันผิวเผิน มันส่งออกไง
ว่าเป็นมนุษย์ ดูมนุษย์สิ มนุษย์ เห็นไหม ดูสิ เรือปืนมันล่าเขา มันบอกวัฒนธรรมมันสูงส่ง แล้วเวลาพวกตะวันออกพวกนี้พวกป่าเถื่อน เวลามันจะล่าเขา มันบอกว่ามันมีวัฒนธรรมนะ แล้วมันไปล่าเขา นี่ก็เหมือนกัน บอกว่าจะปฏิบัติ มันจะพุทโธๆ มันพุทโธสักแต่ว่า มันจะล่าเขาอยู่นี่ มันบอกว่ามันพุทโธ
แต่มันพุทโธโดยสมบูรณ์ พุทโธโดยหัวใจ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าจิตมันสงบเข้ามา พุทโธๆ มันสะเทือน ๓ โลกธาตุ สะเทือน ๓ โลกธาตุเพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันสงบระงับเข้ามา ถ้ามันสงบระงับเข้ามาได้ เห็นไหม มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ว่าถ้าเราภาวนาไม่ได้ มันก็เป็นคุณงามความดี มันก็เป็นอริยทรัพย์ มันเป็นสัจจะของความเป็นมนุษย์คือมีกายกับใจ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาเป็นทิพย์ๆ เขาเพลิดเพลินไปของเขา เวลาเขาจะฟังธรรมๆ เขาต้องแสวงหานะ 
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม สตฺถา เทว-มนุสฺสานํ เป็นครูของเทวดา อินทร์ พรหม ของโลกธาตุ นี่เหมือนกันครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตใจที่มันเป็นธรรมธาตุ สิ่งที่เป็นธรรมธาตุมันสื่อได้ เทวดา อินทร์ พรหมเขารู้ เวลาเขาจะศึกษา เขาจะศึกษาที่นั่น ศึกษาเรื่องอะไร ศึกษาเรื่องอริยสัจ 
คำว่า “อริยสัจ” อริยสัจ ศึกษาทำไม?
จิตนี้มันกลั่น กลั่นมาจากอริยสัจ ถ้าจิตนี้มันยังไม่ได้กลั่นมาจากอริยสัจมันไม่มีการพัฒนาการ มันไม่มีการสำรอก มันไม่มีการคายกิเลส ทำลายกิเลสไป การทำลายกิเลส จิตนี้มันกลั่นมาจากอริยสัจ แล้วอริยสัจมันอยู่ที่ไหน? 
อ้าว! ก็ศึกษามาแล้ว ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันมีมรรค มรรคญาณ มันมีความรู้ความเห็นต่างๆ ไป เห็นไหม กิเลสยังไม่รู้จัก คนไม่รู้จักกิเลส คนไม่เคยเห็นกิเลส มันจะไปชำระกิเลสได้อย่างไร ในเมื่อมันชำระไม่ได้ มันก็เป็นสิ่งที่จะไล่ล่าเขาไง จะเอาเขาให้ได้ไง แล้วมันไม่ได้หรอก มันไม่ได้เพราะว่าการไล่ล่าทางโลกมันเป็นเรื่องของกระแส กระแสกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กระแสลม ลมทางตะวันออก ลมตะวันตก พัดผ่านไปมา ผลของวัฏฏะ ผลของโลก ผลของโลกเขา
แต่ในเมื่อประพฤติปฏิบัติธรรม เห็นไหม มันจะถอดถอนนะ มันจะทำลายวัฏฏะ มันทำลายวัฏฏะ ก็ทำลายวัฏฏะ นี่งานอันยิ่งใหญ่ไง สิ่งที่ว่าไม่มีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมเอาไว้หล่อหลอม ประเพณีวัฒนธรรมมันเป็นความจำเป็นของสังคม ถ้าสังคมชาวพุทธไม่มีการแสดงออก ไม่มีพื้นฐาน แล้วมันจะพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีเรื่องของทาน ถ้าเรื่องของทานก็เรื่องฝึกการเตรียมพร้อมคน ถ้าคนยังไม่พร้อม คนยังไม่เตรียมพร้อมขึ้นมา มันจะไปปฏิบัติอะไรกัน
มันจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องเตรียมพร้อมคน แล้วคนที่เขาพร้อมของเขา เวลาเขาฝึกหัด เขาเสียสละทานของเขาด้วยวัฒนธรรมประเพณี จิตใจของเขามันพัฒนาขึ้นไป ทาน ศีล ภาวนา เขาอยากภาวนา เขาอยากศึกษา เขาอยากประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่วัฒนธรรมประเพณีก็เพื่อเหตุนี้ เหตุที่เราฝึกฝน เหตุที่เราสร้างศาสนทายาท เราสร้างวัฒนธรรมของชาวพุทธ แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมา เราปฏิบัติด้วยสัจจะด้วยความจริง ถ้ามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม เราปฏิบัติ ทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ก่อน ถ้าใจมันสงบเข้ามาได้ ใจมันสงบเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามามันได้ตัวจริง 
สิ่งที่ว่ามนุษย์มีกายกับใจๆ เวลาเรื่องของร่างกาย ร่างกายต้องการบ้านที่อยู่อาศัย ต้องการสิ่งปรนเปรอมัน แล้วก็สร้างด้วยศักยภาพ ด้วยความสมฐานะของกิเลส สร้างใหญ่โตขึ้นไปแล้วมันก็เอาไว้แค่อาศัย 
แต่เวลาหัวใจล่ะ หัวใจ พุทโธๆๆ ถ้าจิตมันมีเครื่องอาศัยที่องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์นี่ไง ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ วางธรรมวินัย มันมีวิธีการ วิธีการถ้าพัฒนาได้ จิตของเราพัฒนาได้ กำหนดพุทโธได้ จิตมันสงบเข้ามาได้ ถ้าสงบเข้ามาได้มันจะเป็นความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มาก มันมีความสุขไง มันมีความสุขนะ
สิ่งที่ว่าวัฒนธรรม เห็นไหม วัฒนธรรมของชาวพุทธๆ แล้วเราทำกันอยู่นี่ วัฒนธรรมของชาวพุทธมันเป็นกรอบ เป็นการพัฒนาการของใจ พัฒนาการคน พัฒนาคน เตรียมพร้อมคน แล้วมันพัฒนามา เราเข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมนี้ เราก็อยากจะขวนขวายอยากจะได้ความจริง ได้ความจริง ความจริงขนาดไหน มันก็ยังอยู่ในพิธีกรรมนั้น ถ้าเราศึกษาให้มันเข้าใจถ่องแท้ว่า วัฒนธรรมเขาทำกันอย่างไร วิธีการเขาทำกันอย่างไร เราทำจนคล่องแคล่ว มันก็อยู่ตรงนั้น 
แต่ถ้าจิตใจ จิตใจมันอยากจะลึกซึ้งเข้าไปล่ะ ลึกซึ้งเข้าไป นี่ฝึกหัดปฏิบัติ กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาจิตสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาก็ด้วยวิชชา ๓ ด้วยวิชชา ด้วยการประพฤติปฏิบัติ
วิชชา เห็นไหม เราก็บอกว่า “วิชชาเราก็เรียนแล้ว ปริยัติก็ศึกษามาแล้ว ศึกษามาจนจบแล้ว วิชชามีท่วมหัวแล้วแล้วล่ะ” จำเขามาทั้งนั้น ความจำไม่ใช่ความจริง ความจำไง ศึกษามา ศึกษามาเพื่อให้เข้าใจ ศึกษามาเพื่อให้ขวนขวาย ศึกษามาเพื่ออยากให้มาปฏิบัติไง แล้วถ้าปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติแล้วก็ยังเอาการศึกษานั้นมาเป็นแนวทาง จิตใจมันก็อยู่ที่การศึกษานั้น มันไม่ปล่อยสิ่งที่ศึกษาเข้าเป็นตัวจริงของมันไง เพราะการศึกษามานั้นเป็นความจำ มันเกิดจากสมองไง
มนุษย์มีกายกับใจ หัวใจนี้สำคัญมาก หัวใจ ธรรมธาตุ เวลามันปฏิสนธิจิต อวิชฺชา ปจฺจยาสงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ ปัจจยาการของมัน สันตติ พัฒนาการของมัน จิต วิถีแห่งจิต จิตมันทำงานของมันอย่างไร เวลาจิต จิตที่มันเสวยอารมณ์ โดยคนเราเกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เวลามีขันธ์ ๕ ปฏิสนธิวิญญาณ สิ่งที่ธาตุรู้กับขันธ์ ๕ เวลาขันธ์ ๕ มันรับรู้ขันธ์ ๕ มันออกมาเป็นสมองมันสั่งการ เห็นไหม เป็นสัญญา เป็นความจำ เป็นสังขาร เป็นความปรุง ความแต่ง เป็นความคิด ความคิดเป็นการวิจัย เป็นการศึกษา เป็นการค้นคว้า มันส่งออกหมดล่ะ มันไปศึกษามาจากนั่น เห็นไหม 
แล้วถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศึกษามาแล้วให้วางไว้ วางไว้ เวลาปฏิบัติจริงก็กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาใคร่ครวญของเรา เห็นไหม ใคร่ครวญหัวใจนี่ ถ้าหัวใจมันใคร่ครวญของมันด้วยสติปัญญา ด้วยปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิแล้วปัญญาโดยสัญชาตญาณ ปัญญาใช้โดยปกตินี้มันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แล้วเราว่าเรามีปัญญามาก ถ้าไม่รู้จักกิเลสมันก็เป็นอย่างนี้ 
แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนามันทำจริงๆ สิ่งที่ทำมาแล้วเราก็ทำมาแล้ว วัฒนธรรมประเพณี เราก็ได้ทำมาแล้ว เราจะหาความจริงของเรานะ เรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ พุทโธๆ จนมันปล่อย มันปล่อย เพราะมันต้องปล่อย มันไม่ปล่อยมันก็เป็นความคิด ความคิดมันก็หยาบ นี่มันส่งออก ส่งออกตั้งแต่ที่นี่ นี่เสวยอารมณ์
เขาว่า “จิตส่งออกไม่ได้ ส่งออกไม่ได้”
จิตส่งออกไม่ได้ก็คนตายน่ะสิ เพราะเราเป็นมนุษย์ มนุษย์มีคุณค่ามีกายกับใจๆ ร่างกายก็สำคัญ สำคัญนะ ถ้าร่างกายมันเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา มันก็เคลื่อนไหวได้ลำบาก มันก็ทำให้เราทุกข์เรายาก เราต้องอาศัยร่างกายนี้ เพราะใจนี้อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพราะอาศัยร่างกายนี้ประกอบคุณงามความดี มือก็ยังทำงานได้ สมองก็คิดได้ ทุกอย่างก็คิดได้ ร่างกายก็ใช้ประโยชน์ไง แล้วประโยชน์นี้มันจะทำได้ มันก็ต้องมีพลังงาน ก็มีใจไง ถ้าใจออกจากร่างไป ร่างนี้ก็แข็งทื่อ มันก็เป็นท่อนฟืน แล้วหัวใจไปไหนล่ะ
แต่ในปัจจุบันนี้เรามีกายกับใจๆ เวลาร่างกาย เราอาศัยการเคลื่อนไหว อาศัยทำคุณงามความดี อาศัยมัน อาศัยชั่วคราว แต่หัวใจล่ะ หัวใจที่เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเรามีสติปัญญา สิ่งที่สามัญสำนึกที่การกระทำมันเป็นสัญชาตญาณ ถ้าเราพุทโธๆ เราจะเข้าไปสู่ใจของเรา ถ้าพุทโธๆ ถ้าจิตมันสงบ ถ้าสงบนะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สงบมาก สงบน้อย มันจะสงบอย่างเล็กน้อย สงบปานกลาง สงบลึกซึ้งขนาดไหน ถ้ามันสงบขึ้นมา ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ มีสติพร้อม มันสงบ เรารู้ แต่ถ้ามันไม่สงบล่ะ มันไม่สงบเพราะอะไร 
เห็นไหม เราจะล่า เรือปืนมันจะล่า แล้วไปล่าวัฒนธรรม ว่ามันป่าเถื่อน จะไล่ล่าเขา แล้วมันจะได้ไหม? ถ้ามันได้ขึ้นมาก็ไปข่มขี่เขาไง แต่ถ้าเราทำตัวเราเอง เราเป็นชาวพุทธ เรามีความพอใจ เราจะปฏิบัติของเราเอง ไม่ให้กิเลสมันไล่ล่า เรือปืนก็กิเลส กิเลสมันตัวร้าย มันจะไล่ล่าเขา แต่ถ้าเอาความจริงล่ะ กิเลสมันเป็นความจอมปลอม กิเลสมันตัณหาความทะยานอยาก กิเลสมันเป็นพญามาร แล้วเวลามันบังเงา มันก็บอกมันเป็นธรรมๆ ไง แล้วมันก็จะไล่ล่า มันก็จะบังคับให้ได้อย่างมันไง
เราเป็นคนมีอำนาจวาสนา เราไม่ใช่คนไล่ล่าเขาด้วยตัณหาความทะยานอยาก แล้วบอกว่าอันนี้เป็นธรรมๆ เป็นธรรมของกิเลสไง เราไม่ต้องการอย่างนั้น เราต้องการสัจจะ ต้องการความจริง เราจะทำของเราเอง ไม่ต้องให้ใครมาไล่ล่า สิ่งที่ไล่ล่าเป็นเรื่องของกิเลส เราจะทำความจริงของเรานะ ถ้าทำความจริงของเรานะ เราพุทโธของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา แล้วจะให้มันเกิดความจริงขึ้นมา ถ้าเกิดความจริงขึ้นมา มันจะเป็นความจริง
เราไม่ต้องการความจำ เราไม่ต้องการสัญญา เราไม่ต้องการให้ใครบังคับ แต่เขาบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นมันเป็นความอยาก ถ้ามีความอยากเป็นกิเลส ปฏิบัติไม่ได้”
แล้วความอยากที่เป็นมรรคไง สิ่งที่เป็นมรรค คุณสมบัติของเราไง คุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ไง คุณสมบัตินั้นมีกายกับใจๆ หัวใจเป็นของเรา หัวใจนี้เป็นของเรา แต่กิเลสมันครอบงำอยู่ หัวใจนี้ของเรา หัวใจที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นของเรา มันอยู่ในหัวอกนี้ แต่เพราะมันโดนกิเลสครอบงำ กิเลสครอบงำเพราะว่ากิเลสอาศัยจิตใจของสัตว์โลก อาศัยตั้งแต่จิตใจตั้งแต่พรหมลงมา อาศัยทุกดวงใจ เห็นไหม ทุกดวงใจ
โดยธรรมชาติของมัน พญามารมันครอบงำไว้หมด แล้วเวลาเรามาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา มันก็บังเงา บังเงามันก็ทำลาย มันทำลายไปหมดล่ะ ถ้ามันทำลาย เห็นไหม มันไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่สัจจะ สัจธรรม ไม่ใช่ธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เราทุกข์เรายาก ทำให้เราลำบาก
เราเกิดเป็นมนุษย์ต่างหากล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสร้างอำนาจวาสนาทำให้หัวใจเข้มแข็งขึ้นมา ให้มีอำนาจวาสนาบารมี ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำมาขนาดนั้นนะ แล้วครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าท่านไม่ได้สร้างอำนาจวาสนามา ท่านจะไม่มีความเข้มแข็ง ท่านจะไม่มีวุฒิภาวะที่จะฝ่าฝืนทนแรงเสียดสีของมันได้ เห็นไหม 
แล้วของเรา เราทนของเราไม่ได้ แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ก็ให้มันชิงนำ ชิงนำมันก็เป็นเรือปืนไง มันก็จะบังคับเอาไง พวกนี้ไม่มีวัฒนธรรมไง พวกนี้ยึดมันให้หมดไง แล้วยึดมาเป็นอะไร? ยึดมาเป็นธรรมไหม? 
ก็เอ็งไล่ล่าเขา เอ็งทำลายเขา มันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ แต่ถ้าเขาพอใจ แล้วเขาศึกษา เขาศึกษาของเขา เขาเห็นอะไรเป็นประโยชน์ และอะไรเป็นโทษของเขา เขาเห็นเป็นประโยชน์เป็นโทษของเขา เขาจะทำของเขาขึ้นมา ถ้าเขาทำของเขาขึ้นมา เห็นไหม เราก็ทำด้วยความเต็มใจ
เขาบอก “มีความอยากปฏิบัติไม่ได้”
มีความอยากโดยกิเลส โดยความไล่ล่า สิ่งนั้นนั่นน่ะกิเลส แต่เราศึกษา เราเข้าใจ เรามีศรัทธามีความเชื่อ เราทำของเราขึ้นมาด้วยคุณประโยชน์กับเรา เป็นความอยาก แต่ความอยากนี้ไม่ใช่การบังคับ ไม่ใช่การไล่ล่า เกิดจากมรรค เกิดจากสัมมาทิฏฐิ เกิดจากความเห็นชอบๆ เกิดจากสติชอบ เกิดจากปัญญาชอบ 
แต่ทำไมปฏิบัติไม่ได้ล่ะ? ทำไมล้มลุกคลุกคลานล่ะ?
อ้าว! เกิดจากความเห็นชอบ แต่กำลังมันอ่อนแอ เห็นไหม เราเอามีด เราเอาดาบไปสู้กับปืนใหญ่ เรือปืนมันยิงเอาทีหนึ่งกระเด็นเลย แล้วเราก็เอามีดเอาดาบนี่วิ่งเข้าไปรบกับมัน เราก็ต้องมีสติมีปัญญาสิ เห็นไหม 
เขาบอก “ทำไมก็ปฏิบัติแล้ว ทำไมมันทุกข์มันยากอย่างนี้”
กิเลสมันครอบงำจนเคยชิน กิเลสมันครอบงำหัวใจจนอยู่ในอาณัติของมันมาตลอด มันขยับทีไร มันก็ยิงตายหมดล่ะ แล้วเราก็เอามีดเอาพร้าไปสู้กับมันอยู่เนี่ย เห็นไหม มรรค เราต้องฝึกหัดฝึกฝนขึ้นมา เพราะเราสร้างมาอย่างนี้ไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ขิปปาภิญญาที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย เขาสร้างของเขามา มันมีเรือปืนมา ไอ้นี่มีนิวเคลียร์ใส่มาเลย ทีเดียวจบหมด ให้มันมาพร้อมกันเลยนะ เรือเข้ามาให้เต็มพร้อมกันเลย แล้วกดทีเดียวให้หมดเลย ขิปปาภิญญา 
แต่ของเรามันมีแต่ดาบ เรามีแต่หอกหลาวไปสู้กับมันน่ะ จะสู้กับมัน เราก็ต้องใช้ยุทธวิธี ใช้ความเข้มแข็งของเรา ใช้ความมุมานะของเรา เห็นไหม พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิให้มันเกิดขึ้น จิตสงบ จิตสงบเข้ามา ทำของเราเต็มที่ แล้วพิจารณาฝึกหัดใช้
เวลาเขายึดครองกัน เขายึดครอง เขาพยายาม เขามีเล่ห์กลของเขาเพื่อจะยึดครอง แล้วกิเลสมันยึดครองหัวใจเราอยู่แล้ว กิเลสเราไม่เคยเห็นมันใช่ไหม เราไม่เคยเห็นกิเลส แล้วเราจะเอาจริงขึ้นมา เห็นไหม เอาจริงเอาจังขึ้นมา ถ้ากิเลสมันหลบใน เราก็ไม่เจอมันอีก นี่มันหลบในนะ มันหลบ มันหลบไปไหนล่ะ กิเลสมันหลบในนะ
เวลายึดครองกัน เขาใช้กลยุทธ์กลวิธีร้อยแปดพันเก้าเพื่อจะยึดครองให้ได้ แล้วหัวใจเราล่ะ สิ่งที่เราเกิดมา เห็นไหม ว่าสิ่งนี้มีคุณค่าๆ กายกับใจมีคุณค่ามาก มีคุณค่ามาก ทั้งๆ ที่เราประพฤติปฏิบัติถ้ายังถึงที่สุดไม่ได้ ยังสู้ไม่ได้ก็มีคุณค่า มีคุณค่า มีคุณค่าเพราะ เพราะมีสติมีปัญญา เพราะอะไร เพราะยังมีสามัญสำนึก
ดูสิ ดูสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตของมนุษย์ที่โดยทั่วไป เขาทำอะไรกันอยู่นั่นน่ะ เขาเห็นแต่ผลประโยชน์ของความเป็นอยู่ทางโลกไง เขาว่าสิ่งนั้นจะจุนเจือเขาไง มันจะจุนเจือได้มากน้อยแค่ไหนล่ะ มันก็จุนเจือได้ชีวิตนี้เท่านั้น แต่ถ้าหัวใจของเราล่ะ เราจะจุนเจือเราได้ เราจะจุนเจือเราได้ถ้าเรามีสติมีปัญญา เห็นไหม ๑. ความทุกข์ยากไม่แผดเผาเราจนเกินไปนัก
สิ่งที่เราว่าเขามีความสุขๆ ปั้นหน้าใส่กันทั้งนั้น มันมีแต่กิเลสแผดเผา มันมีแต่การขวนขวายสิ่งนั้นมาให้เป็นประโยชน์ ให้คิดว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ๆ มันเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ มันไม่เป็นจริง พอไม่เป็นจริง ในเมื่อมันขัดใจ ขัดใจกิเลสมันก็แผดเผา แต่ในเมื่อวุฒิภาวะอย่างนั้นมันก็อาศัยสิ่งนั้นว่าเป็นประโยชน์ๆ ไง แล้วสังคมเขาก็เชิดชูกันไง สังคมกับสังคมคนมีกิเลส สังคมของคนที่ตาบอด
แต่เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสียสละมาก่อน ท่านเป็นถึงกษัตริย์ ทรัพย์สมบัติ เห็นไหม ดูสิ กษัตริย์ในสมัยพุทธกาลออกบวชๆ มหาศาลเลย เขาก็มีเหมือนกัน แต่เขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาเสียสละของเขาได้ ไอ้ของเรา เราจะไปแสวงหาสิ่งนั้น แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นการประสบความสำเร็จ แล้วมาแผดเผา มันกิเลสทั้งนั้น แต่เขาปั้นหน้าใส่กัน เห็นไหม
แต่ถ้าเราทำของเรา เราเอาจริงเอาจังของเรา สิ่งนั้นเราวางไว้ ว่าสิ่งที่มีคุณค่าๆ คือความเป็นมนุษย์ไง ปฏิบัติถ้ามันยังไม่ได้ประสบความสำเร็จ เราก็ยังความเป็นมนุษย์อยู่ ก็ยังมีสิทธิ เรายังมีโอกาสที่กระทำ เราขวนขวายของเรา เรามีความจริงจังจริงใจของเรา พยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบ เห็นไหม เรามีความสุข มีความสุข
เวลาคนที่เขามีความทุกข์ กิเลสมันแผดเผา ตัณหาความทะยานอยากมันเผาหัวใจ แต่เผาหัวใจมันรู้ แต่ก็พยายามว่าตัวเองมีความสุขๆ เพราะ! เพราะจนตรอก ไม่มีทางออก ก็ต้องว่าเป็นความสุข เพราะว่าก็คิดว่าเป็นความสุข ทุกอย่างเป็นความสุข ก็แสวงหาเพื่อมันทั้งนั้นน่ะ ก็เพื่อความสุขๆ แล้วก็ว่ามีความสุข แต่กิเลสมันแผดเผา เขารู้
แต่ถ้าเราพุทโธๆ เราจะไปต่อสู้กับกิเลส กิเลสมันต่อต้าน กิเลสมันพลิกแพลง เราก็ทุกข์ไง เดินจงกรมแล้วก็เหนื่อยล้า นั่งสมาธิแล้วมันก็โงกง่วง ทำอะไรมันก็โงกง่วง เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านก็มีกลยุทธ์สู้กับมัน เห็นไหม สิ่งที่อดนอนผ่อนอาหารในการกระทำของเรา เนี่ยเป็นเทคนิคทั้งนั้น สิ่งที่ว่าเป็นเทคนิค เป็นวิธีการ ที่จะไปต่อสู้กับมัน
เขาบอกว่า “อ้าว! ชีวิตนี้ก็ทุกข์ยากแสนยากอยู่แล้ว มันมานั่งมาภาวนาแล้วมันก็ควรจะพออยู่ พออยู่พอกิน พออยู่ได้ไง ยังต้องมาอดนอนผ่อนอาหารอีก มันก็ทุกข์ยากอยู่แล้ว ทำไมต้องมาทุกข์มากขึ้นไปอีกล่ะ”
มันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เพราะกิเลสมันอยู่กับใจ ถ้าเรากินอิ่มนอนอุ่น กิเลสมันก็ตัวอ้วนๆ ไปด้วย เรามีกำลังเมื่อไหร่ กิเลสก็มีกำลังด้วย ถ้าเราทอนกำลังมันออก กิเลสมันก็อ่อนแอไปด้วย ฉะนั้น เวลาที่เราอดนอนผ่อนอาหาร นั่นล่ะเราทอนมัน ทอนมัน เห็นไหม ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เห็นไหม มันไม่ใช่เครื่องวิธีการกำจัดกิเลส แต่มันเป็นเครื่องส่งเสริม มันเป็นเครื่องขัดเกลา เห็นไหม 
เรือปืนๆ เวลาเขาจะรบกับเรา เขาขู่เขาเข็ญ แล้วเราจะใช้กลยุทธ์วิธีการอย่างไรจะไปต่อสู้กับมัน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก มอบไว้ให้แล้ว ธุดงค์ ๑๓ ข้อ แล้วยังมีการผ่อน การฝึกการหัด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมและวินัยจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ วิธีการจะรื้อสัตว์ขนสัตว์มันเป็นวิธีการทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าไม่มีวิธีการ เราจะไปสู้กับมันได้อย่างไรล่ะ ก็ต้องมีวิธีการจะไปสู้กับมัน
เวลาจะไปต่อสู้กับใครก็จะเอามือเปล่าๆ ไปสู้กับมัน สติ สติก็ชื่อ สติเป็นอย่างไร สมาธิ สมาธิว่างๆ ว่างๆ มันเป็นคำพูด มันไม่มีความจริง แต่ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมาไม่ใช่ว่างๆ สมาธิขึ้นมามันปัดกิเลสออกหมด แล้วมันเป็นสมาธิ พุทโธๆๆ จนละเอียดเข้ามา จนกิเลสมันจับต้องสิ่งใดไม่ได้ กิเลสมันเผลอ กิเลสมันไม่มีโอกาสได้ต่อกร จิตมันก็สงบลง จิตก็สงบลง 
แต่ถ้ามีกิเลสมันสงบลงไหม นี่สงบลงเพราะมันสลัดกิเลสออกไง แต่มันสลัดได้ชั่วคราวไง มันก็สลัดเป็นสมาธิไง นี่มันเป็นวิธีการจะต่อสู้กับมันไง ถ้าเราไม่มีวิธีการสิ่งใด แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับมันล่ะ เวลาสู้ก็แพ้เขามาตลอดอยู่แล้ว แล้วเวลาปฏิบัติแล้วก็ว่า มันยิ่งทุกข์ยากเข้าไปใหญ่
อ้าว! ทุกข์ยากนี้เป็นวิธีการ วิธีการเพื่อให้จิตสงบ แล้วถ้าจิตมันสงบไปแล้ว มันสงบเพราะอะไรล่ะ มันสงบเพราะวิธีการนั้นไง มันสงบเพราะว่าเรามีสติรักษาไง เราพุทโธๆ ชัดๆ ไม่ให้มันแฉลบออกไปไง ไม่ให้มันออกไปจับกิเลสไง ไม่ให้กิเลสสอดเข้ามาไง นี่เราพุทโธชัดๆ เห็นไหม 
“ต้องลงทุนลงแรงกันขนาดนี้เชียวหรือ”
อ้าว! การลงทุนลงแรงอย่างนี้ก็มรรคผล เขาทำอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อประกอบสัมมาอาชีวะ เขายังทุ่มเทกันขนาดนั้น แล้วผลของเขา เขาได้เงินได้ทอง แต่เขายังคาอยู่ในวัฏฏะ ไอ้ของของเรา อัตตสมบัติ เวลาได้ขึ้นมามันคำนวณเป็นเงินเป็นทองไม่ได้เลย เงินทอง เห็นไหม เขากู้ยืมกันเท่าไรเขายังกู้ยืมกันได้ คนขาดตกบกพร่อง ถ้าเขาเป็นญาติพี่น้องกัน เขาจะช่วยเหลือเจือจานกัน
ไอ้ของเรา เวลาจิตมันสงบเข้ามา เงินทองซื้อไม่ได้ มันวัดค่าไม่ได้เป็นเม็ดเงินเม็ดทองเลย มันมีค่าเลอเลิศกับใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นได้สัมผัสสัมมาสมาธิ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เราแสวงหาได้ชื่อได้เสียงมาตลอด เราแสวงหาสิ่งที่ชื่อมัน สิ่งที่เป็นสัญญา แต่พอจิตเราสงบเข้ามา มันได้สัมผัสความจริง ความสัมผัสความจริงมันเป็นการยืนยันไง คนเราจิตที่มันยังลุ่มๆ ดอนๆ มันยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ไง ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา มันเชื่อมั่นของมัน มันจะเป็นอจลศรัทธา
ศรัทธาที่ล้มลุกคลุกคลาน ศรัทธาที่มันยังเอาแน่เอาไม่แน่ เอาจริงเอาไม่จริง มันก็ยังก้ำกึ่งไง แต่ถ้ามันได้สัมผัสขึ้นมา สัมผัสคือปัจจัตตัง สัมผัสคือสันทิฏฐิโก มันรู้จริงเห็นจริงกับใจดวงของมัน มันวัดเป็นมูลค่าได้ไหม วัดเป็นมูลค่า ดูสิ เขาจ้างลูก เห็นไหม อนาถบิณฑิกเศรษฐีจ้างลูกไปฟังเทศน์ เขาใช้เงินจ้างไปๆ เขายังจ้างวานไปจนกว่าจะมีดวงตาเห็นธรรม นี่เขายังจ้างวานกันไป ไอ้นี่ของเรา เราปฏิบัติของเราเป็นความจริง เป็นความจริงขึ้นมา ใครจ้างวานมาล่ะ
สิ่งที่ทางโลกเขาจ้างวานกัน เขาช่วยเหลือเจือจานกันน่ะ สิ่งนั้นเป็นเรื่องโลก แต่ถ้าเราปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้าจิตมันสงบ จิตสงบขึ้นมามันเป็นอจลศรัทธา มันฝังใจ แล้วเราพยายามค้นคว้าของเรา ถ้าเราไม่เห็นกิเลส เราก็ชำระล้างกิเลสไม่ได้ แล้วกิเลสมันเป็นนามธรรม เขาบอกว่า “กิเลส สังโยชน์ ๓ สังโยชน์ตัวเป็นอย่างไร? สักกายทิฏฐิมันอยู่ที่ไหน?” อ้าว! ทิฏฐิก็ความคิดเนี่ย ทิฏฐิก็ทิฏฐิมานะของใจ แล้วเวลามันเป็นมิจฉาขึ้นมา มันเกิดทิฏฐิขึ้นมา มันก็เห็นผิด แล้วก็ยึดมั่น แล้วจะไปแก้ทิฏฐิแก้อย่างไร 
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ กามราคะ ปฏิฆะ พอมันมีกาม เวลามีกามก็พิจารณาอสุภะไง เพื่อจะละกามไง ก็ละกามก็ละอารมณ์แค่ชั่วคราวมันยังไม่เห็นจริงหรอก เพราะอะไร เพราะมันยังไม่เห็นกิเลสไง กิเลสเป็นนามธรรม 
สิ่งที่ว่าสังโยชน์ๆ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันเป็นผล มันเป็นผลที่เราพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรมตามความเป็นจริง ถ้าพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ เราแยกแยะของเรา ถ้ามันจับต้องได้ เห็นไหม เราจะเห็นหน้ากิเลส พอจิตมันเสวยอารมณ์ๆ จิตสงบแล้วถ้ามันเสวยอารมณ์ คำว่า “จับได้” ถ้าเราเห็นกาย เวลาเห็นกายมันสะเทือนหัวใจขนาดไหน นี่ไง นั่นล่ะ เราเห็นหน้ามัน เราได้สัมผัสกับมัน
ถ้าจิตเราไม่สงบ จิตเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ เราไปรู้ไปเห็น ไปรู้ไปเห็นมันก็เป็นทางวิชาการ สิ่งที่รู้ที่เห็นมาจากไหน เห็นมันอย่างไร ดูสิ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตา หู ลิ้น กาย เห็นไหม อายตนะมันกระทบ ภาพต่างๆ รู้เห็นไปหมดล่ะ แต่ทุกอย่างมันรวมลงที่ใจ คนนอนหลับมันยังฝัน นั่งสมาธิอยู่ จิตมันสงบเห็นนิมิตน่ะมันไปแล้ว มันรู้มาจากไหนๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันเห็นมันถึงรู้ไง 
นี่เหมือนกัน จิตมันสงบเข้ามาแล้วถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันถึงรู้ของมันไง แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริง เห็นไหม ไม่เป็นความจริง ไม่เห็นหน้ากิเลส ถ้าไม่เห็นหน้ากิเลสมันก็ทำสิ่งใดไม่ได้ แล้วเวลาพิจารณาไปพิจารณามา พิจารณาแล้วพิจารณาซ้ำ พอพิจารณาแล้วมันปล่อย เวลากิเลสมันหลบใน จะค้นคว้าหาหน้ากิเลสก็ยังต่อสู้กันมาขนาดนี้ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว เวลาพิจารณาไปแล้วมันปล่อยๆ เวลากิเลสมันหลบในนะ
เวลาทางหมอแผนไทย เห็นไหม เวลาเขาเป็นอีสุกอีใส เวลามันหลบใน เขาต้องใช้ยาเขียวกระทุ้งนะ กระทุ้งให้อีสุกอีใสมันออก เพื่อจะไม่ให้มันหลบใน เขากระทุ้งนะ เขาไม่ให้กิเลสหลบใน ไอ้นี่มันเป็นโรคใช่ไหม มันเป็นโรค เขามียาเขียว เขามียาที่กระทุ้งให้มันออกมาเพื่อไม่ให้มันหลบใน ไม่ให้มันคลุกเข้าไปข้างใน
นี่เหมือนกัน ถ้ากิเลสมันหลบใน หาไม่เจอ หาไม่เจอ พิจารณาไปแล้วปล่อย ปล่อยแล้วก็ “โอ๋ย! มันปล่อย” การปล่อย ปัญญาอบรมสมาธิมันก็ปล่อยได้ เวลาสิ่งที่มันทุกข์ใจ สิ่งที่มันฝังใจ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันก็ปล่อย มันก็ปล่อย เห็นไหม นี่วุฒิภาวะๆ ไง วุฒิภาวะของใจ ใจสูงต่ำขนาดไหน 
เวลาจิตใจของคนที่เขาต่ำ เขาว่า “เขาเกิดเป็นมนุษย์ มันมีชาติเดียวเท่านั้นน่ะ อย่ามาหลอกกัน ใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่าเลย โอ๋ย! จะทำทาน จะมาประพฤติปฏิบัติ โอ๋ย! ไม่โง่ขนาดนั้นหรอก เกิดมาเป็นคนทั้งทีต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า” นี่เวลาจิตใจเขาคิดแบบนั้น
ถ้าจิตใจของคนพัฒนาแล้วนะ คนต่างจากสัตว์ สัตว์มันก็กินอยู่เหมือนกัน มันก็สืบพันธุ์เหมือนกัน มันเป็นสัตว์ แต่เราเป็นคน เราเป็นคน เรามีสติปัญญา เราถือศีล ถือพรหมจรรย์ เรามีสิทธิทำได้ทั้งนั้น แต่เราไม่ทำ เราไม่ทำเพราะอะไร เพราะเราจะพัฒนาหัวใจของเรา ถ้าพัฒนาหัวใจของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะมาปฏิบัติเอาจริงเอาจัง ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมามันเป็นจริง ถ้าเป็นจริงนี่จิตใจของคนที่มันสูงขึ้นมา เห็นไหม 
เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป คนที่ยังไม่ได้สัมผัส ไม่ได้สิ่งใด มันก็เป็นศรัทธา ศรัทธาความเชื่อ แต่ถ้าจิตสงบเข้าไปแล้วเป็นความจริงเป็นอจลศรัทธา มันได้จริงของมันแล้ว ถ้าจริงของมันถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นกิเลส ยกขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง พิจารณาแยกแยะๆ ถ้ามันปล่อย มันปล่อย เห็นไหม ถ้ามันปล่อย ถ้าคนมีอำนาจวาสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันปล่อยขนาดไหนก็จับพิจารณาได้ นี่คนที่มีอำนาจวาสนา
แต่ถ้ากิเลสมันดื้อด้าน เวลากิเลสดื้อด้านเพราะกิเลสมันก็มีชีวิต เห็นไหม เราคิดอย่างไร กิเลสมันอยู่เบื้องหลัง มันคอยยุแหย่ตลอดล่ะ แล้วเวลาพิจารณาไปแล้วถ้ามันดื้อด้าน มันหลบใน มันหลบใน เวลาปล่อยแล้วเราก็ว่ามันปล่อยแล้ว มันปล่อยแล้วมันสวมรอย มันสวมรอยมันจะเอามรรคเอาผลน่ะ แล้วมันจะเอามรรคเอาผลมาจากไหนล่ะ ในเมื่อการประพฤติปฏิบัติมันไม่สมดุล
ความสมดุล มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลความพอดี เห็นไหม ดูสิ เวลาเราจะทำสมาธิ เราทำความสงบของใจ เรายังต้องมีสติมีปัญญา เราต้องมีธุดงควัตร ๑๓ เพื่อเป็นเครื่องขัดเกลา เพื่อเป็นเครื่องต่อสู้ เรายังมีเครื่องไม้เครื่องมือเข้าไปต่อกรกับกิเลส ไม่ให้มันมาครอบงำ แล้วทำจนมันเป็นอิสระได้ จนมันเป็นสัมมาสมาธิได้ แล้วเรายกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนาเพราะเราเห็นกิเลส เราสู้กับกิเลสได้
ถ้ามันดื้อด้าน มันหลบใน หลบในนี่มันมีผลทำให้คิดว่ามันตายแล้ว เพราะมันหลบใน มันหลบใน เห็นไหม มันหลบใน ตทังคปหานมันปล่อยชั่วคราวๆ การปล่อยอย่างนี้ ดูสิ ปัญญาอบรมสมาธิมันก็ปล่อยเหมือนกัน แล้วเวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา อจล-ศรัทธาแล้วแหละ อจลศรัทธา ศรัทธาที่ไม่คลอนแคลน เพราะมันต่อสู้แต่กิเลสมันหลบใน มันพลิกกลับมา อจลศรัทธานี่ล้มเลย ล้มเลยเพราะมันปล่อยไง ปล่อยคือตทังคปหาน ปล่อยคือปล่อยชั่วคราว พอปล่อยชั่วคราว เจ้าตัวคิดว่ามันเป็นจริง พอเจ้าตัวคิดว่ามันเป็นจริง เพราะกิเลสมันหลบในมันไม่ได้ชำระล้างกิเลสตามความเป็นจริง เห็นกิเลสแต่ไม่ได้ชำระล้างกิเลสตามความเป็นจริง แล้วกิเลสมันหลบใน หลบในจนให้ผู้ที่ปฏิบัติเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้น มันเป็นจริงอย่างนั้น นี่กิเลสมันตีกลับ เวลากิเลสมันหลบในมันให้ผลนะ
แต่ถ้ามีครูมีอาจารย์นะ ถ้ากิเลสมันหลบใน ในเมื่อมันมีอยู่ ของมันมีอยู่ หลบในก็กระทุ้งมันสิ เห็นไหม อีสุกอีใสเขาใช้ยาเขียวกระทุ้งมัน ให้กินยาเขียวเข้าไปเพื่อขับให้มันออกมา นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันหลบใน เราก็ทำความสงบของใจให้มั่นคง แล้วยกกาย เวทนา จิต ธรรมขึ้นมาพิจารณา ถ้ามันไม่พิจารณา มันไม่มี “ก็ปล่อยวางหมดแล้ว พิจารณาแล้วมันปล่อยวางหมดแล้ว” ...มันหลบใน มันหลบใน มันไม่มีก็จับต้องไม่ได้ 
ตั้งสติให้ดีๆ ตั้งสติไว้ ทำความสงบของใจเข้ามา ยกขึ้น ของมันมี หาให้เจอ เพียงแต่ว่าเวลากิเลสมันหลบใน แล้วมันก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมของมันบอกว่าอย่างนั้นไม่มี แล้วมันเป็นนิสัย นิสัยของเราด่วนได้ มักง่าย เห็นไหม มักง่ายไม่ละเอียดรอบคอบ ถ้าความไม่ละเอียดรอบคอบ เดี๋ยวมันก็เสื่อม ทั้งๆ ที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยความมุมานะอุตสาหะนะ
การประพฤติปฏิบัติมันมีเจริญแล้วเสื่อม เวลาเจริญ เจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมาด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา เวลามันเสื่อมนะ ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น แล้วถ้าอำนาจวาสนาไม่มี มันก็คาไว้อย่างนั้น จะไปข้างหน้าก็ไม่ไป จะถอยหลังมันก็ไม่ถอยนะ นี่กิเลสหลบใน 
ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ กระทุ้ง กระทุ้งขึ้นมา มันมี นึกกายก็ได้ ถ้ามันทำไม่ได้ กลับมาทำความสงบของใจให้มั่นคง มั่นคงแล้วน้อมไปสู่กายเลย เพราะถ้ามันเคยพิจารณากาย ทางมันเคยเดินมันทำได้ แล้วเวลาทำความสงบของใจเลย ยกขึ้นสู่เวทนา ยกขึ้นสู่จิต ยกขึ้นสู่ธรรม ของมันมี มันขวางอยู่น่ะ
ทีนี้มันเป็นนามธรรมไง ดูสิ เราเดินเข้าบ้านออกบ้านผ่านประตูมันเป็นอะไร? เป็นอากาศ อากาศมากระทบตัวเรานะน่ะ แต่มันไม่มี เพราะมันมีทางผ่าน นี่เหมือนกัน เวลามันหลบใน มันบอกมันไม่มีๆ มันมี มันมีเพราะอะไร มันมีเพราะมันไม่สมุจเฉทปหาน ถ้ามันสมุจเฉทปหาน เห็นไหม เวลามันขาด มันสะเทือนโลกธาตุ มันสะเทือนหัวใจ
สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดของมนุษย์คือกายกับใจ แล้วร่างกายนี้ เวลาเราออกกำลังกาย เราดูแลรักษา ร่างกายมันแข็งแรง เห็นไหม แล้วหัวใจ หัวใจที่มันประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันมีสติปัญญาทำสมาธิ สมาธิมันเป็นสัมมาสมาธิ มันแข็งแรง แล้วเวลามันชำระล้างขึ้นมา นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัฒนธรรมของชาวพุทธๆ มันเกิดมรรคญาณ มันเกิดมรรคสามัคคี
มรรคมันคืออะไร? 
มรรคมันคือศีล สมาธิ ปัญญา แล้วศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดมาจากไหน พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญาๆ ปัญญาเกิดมาจากไหน ปัญญาเกิดจากการศึกษา ปัญญาเกิดจากการเล่าเรียนใช่ไหม การศึกษาการเล่าเรียนนั้นให้เกิดศรัทธา ให้เกิดศรัทธาแล้วให้เกิดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เกิดความเป็นจริง ความเป็นจริงคือศีล สมาธิ ปัญญา จากภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันเกิดจากไหน มันเกิดจากจิต จิตที่สงบร่มเย็นแล้ว จิตออกวิปัสสนา วิปัสสนาแยกแยะเข้ามาในสติปัฏฐาน ๔ แล้วมันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ไม่ให้กิเลสมันหลบในไง
จะต่อสู้กับกิเลสก็ไม่รู้จักมัน หามันไม่เจอ เวลาเจอมันแล้ว ประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้วมันยังหลบมันยังหลีก เห็นไหม มันหลบในนี่มันหลบไปเลย แล้วเราก็จับต้องอะไรไม่ได้ “อ้าว! ปฏิบัติก็ปฏิบัติมาแล้ว ทำทุกอย่างก็ทำมาแล้ว พระพุทธเจ้าสอนอย่างไรก็ทำหมดแล้ว แล้วให้ทำอย่างไรต่อ ให้ทำอย่างไรต่อ”
สิ่งนี้นั่นมันคืออะไรล่ะ? มันไม่มีใครทำลายเราเลยนะ มีแต่คนจะส่งเสริม แต่สิ่งที่มันเป็นอยู่นี่เพราะกิเลสของเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นเวรเป็นกรรม ใครสร้างมากสร้างน้อยขนาดไหน ดูสิ ขิปปาภิญญาเขาปฏิบัติง่ายรู้ง่าย เขามุมานะบากบั่นมาเต็มที่แล้ว ถ้าเขามุมานะบากบั่นมาเต็มที่แล้ว เวลาเขาปฏิบัติขึ้นมาด้วยผลบุญอันนั้นมันจะส่งเสริม มันจะเป็นจริง
แต่ของเรา เห็นไหม เราได้สร้าง สร้างบุญกุศลมาถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์นะ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาแล้วได้ประพฤติปฏิบัติ แต่อำนาจวาสนาเรามันไม่ตลอดรอดฝั่ง มันมีสิ่งใดที่กีดขวางอยู่ สิ่งที่กีดขวางใครทำมา ก็เราทำมาทั้งนั้นน่ะ เราทำมา เราก็ต้องทำในปัจจุบันไง ทำปัจจุบันนี้ ทำปัจจุบันให้สมฐานะ ให้สมกับมรรคสามัคคี ให้สมกับมรรคญาณ ให้สมกับภาวนามยปัญญา ให้สมกับสิ่งที่เป็นปัญญาเกิดจากการภาวนา
ภาวนาจากไหน? 
ภาวนาเกิดจากจิต จากจิตที่สงบระงับ จากจิตที่เป็นความจริงขึ้นมา มันถึงได้ค้นคว้า ถึงได้เห็นสติปัฏฐาน ๔ ถึงได้เห็นตามความเป็นจริง แล้วมันยังล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่ เราหมั่นเพียรของเรา เราทำปัจจุบันนี้ เพราะเราสร้างบุญกุศลมาอย่างนี้ เราทำมาขนาดนี้ แล้วคิดดูสิ ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ต่อสู้กันด้วยเอาชีวิตเข้าแลกมาตลอดเลย ทุ่มเททั้งชีวิต ทุ่มเททุกๆ อย่าง ทุ่มเทเพื่อจะเอาความจริง แล้วความจริงกำลังต่อกรกันตรงหน้า ตรงหน้าคือปัจจุบันธรรม ตรงหน้าคือระหว่างจิตกับมรรค มรรคที่มันเกิดจากจิตกับกิเลสที่มันเกิดจากจิตระหว่างมรรคกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเข้าต่อกร เข้าสู่ประหัตประหารกัน
แล้วเวลามรรคของเราเข้มแข็งขึ้นมา คือสติ ศีล สมาธิ ปัญญาเราเข้มแข็ง ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความชอบธรรมที่เกิดขึ้น เวลากิเลสมันหลบใน มันหลบหลีกแล้วมันหลบใน มันทำตัวให้มันไม่มี ทำตัวมองไม่เห็น ทำตัวมันอยู่ในใจของเราโดยหลบหลีก แล้วเราทำอย่างไรล่ะ? เราทำอย่างไร? เวลาทำอย่างไร เห็นไหม เราก็กระตุ้น กระตุ้นขึ้นมา ที่ว่าเวลาอีสุกอีใสหลบใน เขาใช้ยาเขียวกระตุ้น กระตุ้นให้มันนะ นี่ก็เหมือนกัน เราเอากาม เอาความสวยงาม เอาความพอใจไปล่อมันก็ได้ ถ้ามันไม่มี ไม่มี ลองล่อมัน เดี๋ยวมันก็ออก สัตว์มันเคยกินเนื้อสัตว์มันเคยกินอาหาร เอาอาหารล่อมันออกเท่านั้น เขาดัก กับดักสัตว์เขาดักอย่างไร 
นี่ก็เหมือนกัน เราจะดักกิเลส เราจะค้นคว้ามัน เราจะลากมันออกมา เวลามันหลบหลีก ถ้ากิเลสหลบใน ต้องมีวิธีการต่อสู้กับมัน ต่อสู้กิเลสมันไม่ใช่ต่อสู้ง่ายๆ หรอก เล่ห์เหลี่ยมเล่ห์กลพลิกแพลงร้อยแปดพันเก้า ถ้ามีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ของมันมี ของมันมีเพราะอะไร ของมันมีเพราะเรายังไม่ทำลายไง ของมันมีเพราะเรายังไม่สมุจเฉทปหานไง ของมันมีเพราะเรายังไม่เป็นวิสุทธิมรรค มรรคของเรามันเป็นมรรคของกิเลสไง มรรคของความพอใจไง มรรคของความเคลิบเคลิ้มไง มรรคของคนหลงระเริงไง มรรคของกิเลสมันเคลมไว้ไง 
เราก็ต้องพลิกแพลงต่อสู้ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่ทำถ้ากิเลสมันหลบในนะ มันหลบอยู่แล้วล่ะ กิเลส ปฏิบัติเริ่มต้นก็ไม่รู้ไม่เห็นมัน ไม่รู้ไม่เห็นมันจะจับต้องกันอย่างไร ถ้ารู้ถ้าเห็นแล้ว เวลาปฏิบัติไป มันหลบมันหลีกอยู่ตลอดเวลา 
เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมาร “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราอีกไม่ได้เลย” แล้วเวลาเรือนยอดของมาร ความโลภ ความโกรธ ความหลง อวิชชาคือเรือนยอดของมัน เราได้หักแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หัก ได้ทำลายแล้ว เย้ยมัน 
แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาความจริง เราต้องเข้มแข็ง เข้มแข็งต่อสู้ ต่อสู้เพื่อมรรคเพื่อผลของเรา เพื่อชีวิต เห็นไหม ชีวิตของมนุษย์ที่มีค่าเนี่ย เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ให้ชีวิตนี้มันราบรื่น ให้ชีวิตนี้ประพฤติปฏิบัติไป ประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม ในเมื่อเราปฏิบัติถ้ามันยังล้มลุกคลุกคลาน ไม่ได้สมความปรารถนา เราก็ต้องมีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา 
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้ว มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แต่ความเพียรชอบกับความเพียรไม่ชอบ เห็นไหม ความเพียรมันยังแยกเป็นถูกและผิด แต่เราพยายามทำของเรา มีครูบาอาจารย์คอยชักนำของเรา เราจะทำเพื่อเรา เพื่อการประพฤติปฏิบัติของเรา เพื่อหัวใจดวงนี้ เอวัง